กระแสการรักสุขภาพที่เพิ่งจะมาฮิตติดกระแสเมื่อช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทำให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง วิตามินอาหารเสริม เสื้อผ้า รองเท้า และยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถกอบโกยรายได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นเรื่องที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้อีกด้วย นั่นก็คือ “เครื่องออกกำลังกาย”
หากเปรียบเทียบกับหลายปีก่อน กระแสการรักสุขภาพนั้นยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากถึงขนาดนี้ นั่นอาจเป็นเพราะเทคโนโลยี เช่น โซเชียลมีเดีย ความนิยมทางสังคมจากดารา ผู้มีชื่อเสียง (IDOL ด้านสุขภาพ) ทำให้ทุกคนต่างก็เห็นถึงคุณค่าของการออกกำลังกายมากขึ้น และอยากจะปฏิบัติตามพวกเขาเหล่านั้น
อีกทั้งยังมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ทำให้คนทั่วโลกนั้นยิ่งต้องตระหนักถึงการดูแลสุขภาพ และหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น แต่อุปสรรคก็คือหลาย ๆ คนก็ยังไม่วางใจหรือไม่กล้าที่มาออกกำลังกายตามที่สาธารณะกันอย่าง 100% ดังนั้นการออกกำลังกายในปัจจุบันจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ต่างก็เห็นช่องทางการทำกำไร และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ผู้ประกอบการธุรกิจฟิตเนสจะต้องปรับตัวหันมาขายเครื่องออกกำลังกายเพื่อสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูว่าทำไมธุรกิจการขายเครื่องออกกำลังกายจึงเหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานี้
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าเทรนด์การรักสุขภาพนั้นเติบโตได้จากกระแสจากสื่อออนไลน์ ที่ทำให้หลาย ๆ คนตระหนักถึงการรักษาสุขภาพ (IDOL ด้านสุขภาพ) ทุกคนต่างก็เห็นถึงคุณค่าของการออกกำลังกายมากขึ้นและเริ่มปฏิบัติตาม
สิ่งเหล่านี้เป็นจุดสำคัญทำให้การออกกำลังกายค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น อีกทั้งเป็นตัวจุดประกายทำให้ผู้คนเริ่มลุกขึ้นมาออกกำลังกายกันมากขึ้น เพราะตระหนักถึงปัญหาที่อาจตามมาทีหลัง เช่น โรคร้ายต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งจริง ๆ แล้วจากการวิจัยในช่วงปี 2017 เผยว่าคนไทยขี้เกียจออกกำลังกายสูงถึง 84% จากประชากรทั้งหมด 66.41 ล้านคนเลยทีเดียว
จนปัจจุบันไม่ว่าเราออกไปตามสวนสาธารณะ หรือตามยิมต่าง ๆ ก็จะเห็นคนออกกำลังกายเต็มไปหมด อีกทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าผู้ที่เริ่มการออกกำลังกายนั้นจะรู้สึกถึงสุขภาพที่ดีขึ้น และเห็นคุณประโยชน์มากมาย จึงทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นหลงรักและเสพย์ติดการออกกำลังกายไปอย่างไม่รู้ตัว จึงทำให้ตัวเลขของผู้คนที่หันมาออกกำลังกายไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสถิติล่าสุด นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิตโพล ระบุว่าคนไทยหันมาดูแลสุขภาพตนเองสูงถึง ร้อยละ 68.10 จากสถานการณ์ Covid-19 และ PM2.5 ในปี 2020 ทำให้คนไทยวิตกกังวลเรื่องสุขภาพมากขึ้น มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพมากขึ้นกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา
อันเป็นผลพลอยได้จากธุรกิจอื่น ๆ ด้วย เพราะผู้คนนั้นเริ่มหันมากินอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อดูแลตัวเอง หันมาใส่ชุดกีฬาเท่ ๆ ที่ผลิตมาเพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมงานกีฬาต่าง ๆ ขึ้น จนทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกตื่นเต้น และหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างคอมมูนิตี้ใหม่ให้ตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจฟิตเนสที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องก็ได้ผลประโยชน์มาจากสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
แน่นอนว่าจุดพลิกผันของทั้งหมดเริ่มมาจากการระบาดของ Covid-19 ที่ทำให้ฟิตเนสต้องปิดตัวตามมาตรการป้องกันความปลอดภัย และพักการเก็บเงินค่าสมาชิกรายเดือนของเมมเบอร์ที่ไม่สามารถเดินทางมาออกกำลังกายได้
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วธุรกิจฟิตเนสจะเติบโตได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะไม่สามารถสร้างรายได้ได้ตามปกติ ซึ่งเราก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ในยุคนี้ใครที่ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ก็คงอยู่ไม่รอดจริง ๆ เพราะธุรกิจฟิตเนสส่วนใหญ่ก็เริ่มหันมาขายเครื่องออกกำลังกายกันมากขึ้น
แล้วผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็น่าทึ่งด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงสถานการณ์ที่ทุกคนต้องกักตัว แถมยังห่วงสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ฟิตเนสจึงได้กอบโกยกำไรจากการขายเครื่องออกกำลังกายให้สำหรับผู้ที่ซื้ออุปกรณ์ไปไว้เล่นที่บ้าน
หรือหากใครเคยได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวของบริษัท Peloton มาบ้าง จะเห็นว่าพวกเขานั้นสามารถกอบโกยกำไรจากการขายเครื่องออกกำลังกายได้อย่างมหาศาล จนถูกเปรียบเทียบกับบริษัทระดับโลกอย่าง Amazon และ Apple เลยทีเดียว
ส่วนในบ้านเรานั้นเราจะเห็นได้ว่าจะมีนักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มหันมาลงทุนเปิดฟิตเนสและขายเครื่องออกกำลังกายกันเรื่อย ๆ เพราะการออกกำลังกายที่บ้านน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องทำต่อไปอีกยาวนาน รวมถึงหากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย ผู้คนก็จะแห่ไปใช้บริการฟิตเนสกันอย่างแน่นอน
โดยที่ไม่ต้องกังเลยว่าธุรกิจสาย Healthy จะถึงทางตัน เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นคงพิสูจน์ให้ทุก ๆ คนเห็นแล้วว่าการที่มีสุขภาพที่ดีนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของมนุษย์แล้ว เพราะร่างกายนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่าง ๆ และทำให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปได้อย่างสะดวกนั่นเอง
หากคุณมีความสนใจอยากที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจในด้านนี้ ต้องยอมรับเลยว่ามือใหม่นั้นอาจจะเริ่มต้นได้ยาก เราจึงอยากขอแนะนำว่าคุณจำเป็นจะต้องมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปี และทีมงานให้คำปรึกษาฟรี ! ในเรื่องงบประมาณ พื้นที่ การบริการหลังการขายที่มีทั้ง รับประกันสินค้ายาวนาน มีทีมงานหมั่นเข้ามาเช็คอุปกรณ์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ
เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายที่คุณเสียไปคุ้มค่า และเกิดผลประโยชน์ต่อคุณได้มากที่สุด แถมยังอุ่นใจเพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาแนะนำอยู่ตลอด ซึ่งคุณสามารถเข้ามาปรึกษาได้แล้วตอนนี้
ให้เราช่วยบอกคุณว่าควรเริ่มต้นอย่างไรให้ได้กำไรเข้าธุรกิจยิมของคุณให้ได้มากและเร็วที่สุด เราให้คำปรึกษาฟรีที่เหมาะกับขนาดพื้นที่และงบประมาณ